การจัดการองค์การ
แนวคิด
1. การประกอบการทุกประเภท
ทุกระดับต้องมีการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ องค์การเป็นที่รวมของคน และงานต่างๆ
เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ จึงจำเป็นต้องจัดแบ่งหน้าที่การงานกันทำ
และมอบอำนาจให้รับผิดชอบตามความสามารถและความถนัดการจัดองค์การ
เป็นการจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างส่วนงานต่างๆ และบุคคลในองค์การ โดยกำหนดภารกิจ
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดแจ้ง
เพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจขององค์การบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ทฤษฎีองค์การ แบ่งเป็น 3 ทฤษฎี ได้แก่
1. ทฤษฎีดั้งเดิม
2. ทฤษฎีสมัยใหม่
3. ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน
3. ประเภทขององค์การ หากจำแนกโดยยึดโครงสร้าง
แบ่งได้ 2 แบบ คือ
1. องค์การแบบเป็นทางการ
2. องค์การแบบไม่เป็นทางการ
4. หลักการจัดองค์การที่ดี มีอยู่หลายประการ
ในส่วนหลักสำคัญที่ต้องมี คือ หลักวัตถุประสงค์หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง
หลักการประสานงาน หลักของอำนาจหน้าที่ และหลักความรับผิดชอบ
5. กระบวนการจัดองค์การ มี 3 ขั้น คือ
1. การจัดกลุ่มงานและโครงสร้างตำแหน่ง
2. การมอบหมายอำนาจหน้าที่
3. การจัดวางความสัมพันธ์
6. การจัดโครงสร้างขององค์การ แบ่งได้ 5 ประเภท
ได้แก่ โครงสร้างตามหน้าที่การงาน โครงสร้างตามสายงานหลัก
โครงสร้างแบบคณะที่ปรึกษา โครงสร้างแบบคณะกรรมการบริหาร และโครงสร้างงานอนุกร
7. โครงสร้างองค์การ แบบสูง และแบบกว้าง
ถ้าแบบสูงจะมีการบังคับบัญชากันหลายระดับ กระบวนการทำงานจะช้า ส่วนแบบกว้างจะมีระดับการสั่งการน้อย
กระบวนการทำงานจะรวดเร็ว
8. การจัดแผนกงาน แบ่งได้ 5 ลักษณะ ได้แก่
1. ตามหน้าที่
2.
ตามประเภทผลิตภัณฑ์
3.
ตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
4.
ตามกระบวนการผลิต
5. ตามลูกค้า
9.
แผนภูมิองค์การ แบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ แผนภูมิหลัก และแผนภูมิเสริม
10.
อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
เป็นสิทธิที่ได้รับมอบหมายมาโดยถูกต้องตามกฎหมายที่จะสั่งให้บุคคลอื่นปฏิบัติงานตามที่ตนต้องการและเป็นภาระผูกพันของบุคคลในการปฏิบัติงาน
การจัดองค์การ (
Organizing)
นักทฤษฎีองค์การทั้งหลายพยายามที่จะออกแบบองค์การ
เพื่อรวบรวมเอาพนักงานทั้งหลายขององค์การที่จะต้องทำงานร่วมกัน และมีความจำเป็นที่จะต้องประสานงาน เพื่อให้งาน
ได้รับมอบหมายบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
ซึ่งการจัดองค์การถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการบริหารการจัดการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบางอย่างไม่สามารถทำเพียงคนเดียวได้ หลาย ๆ
คนจำต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า
“ องค์การ ”
ดังที่ CHESTER I
BARNARD กล่าวว่า องค์การเป็นระบบของการร่วมมือร่วมใจของมนุษย์
ดังนั้น
การจัดองค์การก็เพื่อให้โครงสร้างของกลุ่มคน และกลุ่มตำแหน่งงานต่าง ๆ
ที่จะไปรองรับกับแผนงานที่กำหนดไว้
และเป็นโครงสร้างที่จัดขึ้น
เพื่อประสานให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้ดี
ช่วยลดความซ้ำซ้อนผู้บริหารจึงจำเป็นต้องจัดองค์การให้มีลักษณะที่สมดุลเพื่อประโยชน์ขององค์การ
ความหมายของการจัดองค์การ
การจัดองค์การ (Organizing) คือ กระบวนการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างคนงานและกิจกรรมต่างๆขององค์การเพื่อที่จะก่อให้เกิด
การใช้ทรัพยากรขององค์การให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดการจัดองค์การ (Organizing)
คือ
การจัดระเบียบกิจกรรมต่าง ๆ ในองค์การ และมอบหมายงานให้คนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย การจัดองค์การที่ดี
จะช่วยให้การบริหารการจัดการมีประสิทธิภาพได้เนื่องจาก
1.
ทำให้ทราบขอบเขต ความรับผิดชอบ และอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ
2.
ช่วยป้องกันการทำงานที่ซ้ำซ้อน
3.
ช่วยประสานงานในหน้าที่ต่าง ๆ ได้ดี
4.
ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างพนักงานในองค์การได้
5.
สามารถแสดงให้เห็นตัวภาระหน้าที่ความรับผิดชอบได้ชัดเจน
6.
ทำให้มีระบบการสื่อสารตามสายการบังคับบัญชาที่ดี
หลักของการจัดองค์การ
หลักสำคัญของการจัดองค์การ ควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน, อำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบ ,
ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา , สายบังคับบัญชา , ช่วงการบังคับบัญชา , การประสานงาน , หลักของการทำงานเฉพาะอย่าง และเอกภาพในการบังคับบัญชา องค์ประกอบของการจัดองค์การจะประกอบไปด้วย การแบ่งงานกันทำ (Division of work) การจัดแผนกงาน (Departmentalization) การกระจายอำนาจหน้าที่ (Distribution of
Authority) และการประสานงาน (Co-ordination)การจัดองค์การจะปรากฏขึ้นในรูปแผนภูมิองค์การที่เกิดจากการลากเส้นต่าง
ๆ เพื่อให้เห็นการแบ่งแยกกลุ่มงาน
ผู้รับผิดชอบ ตามลำดับลดหลั่นกันไป
หลักการจัดองค์การ
OSCAR
ของ Henri Fayol มาจากคำว่า Objective,
Specialization, Coordination, Authority และ Responsibility
ซึ่ง Fayol ได้เขียนหลักของการจัดองค์การไว้ 5 ข้อ เมื่อนำเอาตัวอักษรตัวแรกของคำทั้ง 5
มาเรียงต่อกัน จะทำให้สะกดได้คำว่า OSCAR สำหรับรายละเอียด
ทั้ง 5 คำจะขอกล่าวไว้ใน " หลักในการจัดองค์การที่ดี
"
หลักในการจัดองค์การที่ดีจะต้องมีองค์ประกอบและแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้
(ศิริอร ขันธหัตถ์,
2536)
หลักวัตถุประสงค์
(Objective)
กล่าวว่า องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นตำแหน่งยังต้องมีวัตถุประสงค์ย่อยกำหนดไว้เพื่อว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งจะได้พยายามบรรลุวัตถุประสงค์ย่อย
ซึ่งช่วยให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์รวม
หลักความรู้ความสามารถเฉพาะอย่าง
(Specialization)
กล่าวว่า การจัดแบ่งงานควรจะแบ่งตามความถนัด
พนักงานควรจะรับมอบหน้าที่เฉพาะเพียงอย่างเดียวและงานหน้าที่ที่คล้ายกันหรือสัมพันธ์กัน
ควรจะต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของคนคนเดียว
หลักการประสานงาน
(Coordination)
กล่าวว่า การประสานงานกัน คือ การหาทางทำให้ทุก ๆฝ่ายร่วมมือกันและทำงานสอดคล้องกัน
โดยใช้หลักสามัคคีธรรม เพื่อประโยชน์ขององค์การ
หลักของอำนาจหน้าที่
(Authority)
กล่าวว่า ทุกองค์การต้องมีอำนาจสูงสุด จากบุคคลผู้มีอำนาจสูงสุดนี้
จะมีการแยกอำนาจออกเป็นสายไปยังบุคคลทุก ๆ คนในองค์การ หลักนี้บางทีเรียกว่า Scalar
Principle (หลักความลดหลั่นของอำนาจ) บางทีเรียกว่า Chain of
command (สายการบังคับบัญชา)
การกำหนดสายการบังคับบัญชานี้ก็เป็นวิธีประสานงานอย่างหนึ่ง
หลักความรับผิดชอบ
(Responsibility)
หลักของความรับผิดชอบ กล่าวว่า
อำนาจหน้าที่ควรจะเท่ากับความรับผิดชอบ คือบุคคลใดเมื่อได้รับมอบหมายความรับผิดชอบก็ควรจะได้รับมอบหมายอำนาจให้เพียงพอ
เพื่อทำงานให้สำเร็จด้วยดี
หลักความสมดุล
(Balance)
จะต้องมอบหมายให้หน่วยงานย่อยทำงานให้สมดุลกันกล่าวคือปริมาณงานควรจะมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน
รวมทั้งความสมดุลระหว่างงานกับอำนาจหน้าที่ที่จะมอบหมายด้วย
หลักความต่อเนื่อง
(Continuity)
ในการจัดองค์การเพื่อการบริหารงานควรจะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง
ไม่ใช่ ทำ ๆ หยุด ๆ หรือ ปิด ๆ เปิด ๆ
ยิ่งถ้าเป็นบริษัทหรือห้างร้านคงจะไปไม่รอดแน่
หลักการโต้ตอบและการติดต่อ
(Correspondence)
ตำแหน่งทุกตำแห่งจะต้องมีการโต้ตอบระหว่างกันและติดต่อสื่อสารกัน
องค์การจะต้องอำนวยความสะดวก จัดให้มีเครื่องมือและการติดต่อสื่อสารที่เป็นระบบ
หลักขอบเขตของการควบคุม
(Span
of control) เป็นการกำหนดขีดความสามารถในการบังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง
ๆ ว่าควรจะควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาหรือจำนวนหน่วยงานย่อยมากเกินไป
โดยปกติหัวหน้าคนงานไม่เกิน 6 หน่วยงาน
หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
(Unity
of command) ในการจัดองค์การที่ดี
ควรให้เจ้าหน้าที่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าง่านเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบังคับบัญชาจึงถือหลักการว่า "One man one
boss"
หลักตามลำดับขั้น
(Ordering)
ในการที่นักบริหารหรือหัวหน้างานจะออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ควรปฏิบัติการตามลำดับขั้นของสายการบังคับบัญชาไม่ควรออกคำสั่งข้ามหน้าผู้บังคับบัญชา
หรือผู้ที่มีความรับผิดชอบโดยตรง เช่น อธิการจะสั่งการใด ๆ แก่หัวหน้าภาควิชาควรที่จะสั่งผ่านหัวหน้าคณะภาควิชานั้นสังกัดอยู่
อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะได้แจ้งหัวหน้าคณะวิชานั้น ๆ ทราบด้วย
เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
และอาจจะเป็นการทำงายขวัญและจิตใจในการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาโดยไม่ตั้งใจ
หลักการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง
(Promotion)
ในการพิจาความดีความความชอบและการเอนตำแหน่งควรถือหลักว่า
ผู้บังคับบัญชาโดยตรงย่อมเป็นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับใต้บังคับบัญชาของตนโดยใกล้ชิดและย่อมทราบพฤติกรรมในการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดีกว่าผู้อื่น
ดังนั้นการพิจารณาให้คุณและโทษแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใดก็ควรให้ผู้นั้นทราบและมีสิทธิมีเสียงในการพิจารณาด้วยเพื่อความเป็นธรรมแก่ใต้บังคับบัญชาของเขา
และเพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญในการทำงานของบุคคลในองค์การด้วย ประเภทขององค์การ
(Types
of Organization)
การจำแนกองค์การโดยยึดโครงสร้าง
(สมคิด บางโม,
2538) แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. องค์การแบบเป็นทางการ
(formal
organization) เป็นองค์การที่มีการจัดโครงสร้างอย่างเป็นระเบียบแบบแผนแน่นอน
การจัดตั้งมีกฎหมายรองรับ บางแห่งเรียกว่า องค์การรูปนัย ได้แก่ บริษัท มูลนิธิ
หน่วยราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ
ซึ่งการศึกษาเรื่ององค์การและการจัดการจะเป็นการศึกษาในเรื่องขององค์การประเภทนี้ทั้งสิ้น
2. องค์การแบบไม่เป็นทางการ
(informal
organization) เป็นองค์การที่รวมกันหรือจัดตั้งขึ้นด้วยความพึงพอใจและมีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัว
ไม่มีการจัดระเบียบโครงสร้างภายใน มีการรวมตัวกันอย่างง่ายๆ และเลิกล้มได้ง่าย
องค์การแบบนี้เรียกว่า องค์การอรูปนัย หรือ องค์การนอกแบบ เช่น
ชมรมต่างๆหรือกลุ่มต่างๆ อาจเป็นการรวมกลุ่มกันตามความสมัครใจของสมาชิกกลุ่ม
ซึ่งเนื่องมาจากรายได้ อาชีพ รสนิยม ศาสนา ประเพณี ตำแหน่งงาน ฯลฯ
โครงสร้างองค์การ
แบบสูง และแบบกว้าง
การออกแบบโครงสร้างองค์การ
( สมคิด บางโม,
2538) มีสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึง คือ ความสูง และความกว้างของโครงสร้าง
ถ้าโครงสร้างขององค์การมีการบังคับบัญชากันหลายชั้นหลายระดับ
กระบวนการทำงานย่อมช้า
แต่ถ้าโครงสร้างองค์การมีระดับการสั่งการน้อยกระบวนการทำงานย่อมรวดเร็วกว่า
ช่วงของการควบคุม (span of control) หมายถึง
จำนวนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ถูกควบคุมหรือสั่งการจากผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น คุณวิสนี เป็นประธานบริษัท
และมีคุณกำชัยเป็นรองประธานบริษัทเพียงคนเดียว
แสดงว่าช่วงของการควบคุมของประธานคือมีเพียง 1
แต่ถ้าบริษัทนี้มีรองประธาน 3 คน
แสดงว่าช่วงของการควบคุมของประธานมีเท่ากับ 3 เป็นต้น
ข้อดีของโครงสร้างแบบสูง
1.การบริหารงานใกล้ชิด
2.การควบคุมใกล้ชิด
3.การติดต่อสื่อสารรวดเร็วระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง
4.งานมีคุณภาพเพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชำนาญการเฉพาะ
ข้อจำกัดของโครงสร้างแบบสูง
1.ค่าใช้สูงสำหรับหัวหน้าแต่ละระดับ
2.มีระดับการจัดการมาก
3.ระยะทางระหว่างระดับสูงถึงระดับต่ำห่างเกินไป
4. หัวหน้ามีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการทำงาน ของลูกน้องมากเกินไป
ข้อดีของโครงสร้างแบบกว้าง
1.ลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร
2.ลูกน้องมีอิสระสูงในการทำงาน เนื่องจากหัวหน้ามีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากจึงมีการควบคุมน้อย
ข้อจำกัดของโครงสร้างแบบกว้าง
1.ต้องการผู้บังคับบัญชาที่มีความสามารถมาก
2.ผู้บังคับบัญชาอาจจะควบคุมงานทุกอย่างได้ไม่ทั่วถึงva
https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/organization/index.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น