ความหมายของการเพิ่มผลผลิต
การเพิ่มผลผลิตมี 2 แนวความคิด คือ
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และแนวคิดทางเศรษฐกิจสังคม
1.1
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์
ตามแนวคิดนี้ ความหมายโดยสรุปคิด
“การเพิ่มผลผลิตเป็นสิ่งที่วัดค่าได้ และมองเห็นเป็นรูปธรรม”นั่นคือ
ตามแนวความคิดนี้ การเพิ่มผลผลิตสามารถวัดค่าได้ทั้งทางกายภาพ
คือวัดเป็นจำนวนชิ้นน้ำหนัก ความยาว ฯลฯ และอีกทางคือ การวัดเป็นมูลค่า
ซึ่งวัดในรูปที่แปลงเป็นตัวเงิน สามารถทำให้หน่วยงานหรือองค์กรมองเห็นเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนว่า
การประกอบธุรกิจนั้น ๆ มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่
การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางวิทยาศาสตร์
คือ
ผลผลิต
(Output)
ที่นำมาเพื่อใช้ในการคำนวณนี้ต้องเป็นผลิตผลที่ขายได้จริงไม่นับรวมผลิตผลที่เป็นของเสียที่ตลาดไม่ต้องการ
และต้องไม่เป็นผลิตผลค้างสต๊อกที่เก็บไว้ในโกดังสินค้า
เพราะไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อโรงงานค่าที่ได้จาการคำนวณจากอัตราส่วนขิงผลิตผลและปัจจัยการผลิตนี้จะไปวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าการเพิ่มผลผลิตของโรงงานตามที่กำหนด
และใช้เปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่นการคำนวณหาค่าการเพิ่มผลผลิตนี่เรียกว่า
การวัดการเพิ่มผลผลิต ซึ่งแนวทางการเพิ่มผลผลิตมีดังนี้
แนวทางที่ 1 ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตเท่าเดิม
คือ Output
เพิ่มขึ้น Input เท่าเดิม
แนวทางนี้นำไปใช้ในการเพิ่มผลผลิตในสภาวะเศรษฐกิจอยู่ในสภาพปกติ
คือเมื่อพนักงานมีเท่าเดิมต้องการให้ผลิตผลมากขึ้น
ก็หาวิธีการปรับปรุงงานด้วยการนำเทคนิค วิธีการปรุงปรับการเพิ่มผลผลิตเข้ามาช่วย
เช่น ปรับปรุงวิธีการทำงาน ฝึกอบรมทักษะในเรื่องการทำงานให้มีทักษะคุณภาพ กิจกรรม
5 ส กิจกรรม QCC ฯลฯ จะเป็นการเพิ่มผลผลิตให้มีค่าสูงขึ้น
โดยไม่เพิ่มปัจจัยการผลิต
แนวทางที่ 2
ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยการผลิตลดน้อยลงคือ Output เพิ่มขึ้น Input
ลดลง แนวทางนี้สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้การเพิ่มผลผลิตมีค่าสูงสุดมากกว่าวิธีอื่น
ๆ เป็นแนวทางที่นำเอาแนวทางที่ 1 และแนวทางที่ 4 เข้าด้วยกัน
ผู้ปฏิบัติต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับปรุงกระบวนการผลิตวิธีการทำงานทั้งหมด
จนไม่มีการสูญเสียในกระบวนการผลิต เช่น โรงงานผลิตผลไม้กระป๋อง
ใช้คนงานสุ่มเช็คความเรียบร้อยของสินค้าก่อนบรรจุลงในกล่องหากพบสินค้ามีรอยตำหนิไม่เป็นมาตรฐานก็จะแยกส่งออกไปแก้ไขใหม่ใช้พนักงาน
6 คน ในจำนวนพนักงานทั้งหมด12 คน ในสายตาการผลิต
จะเห็นว่าเวลาส่วนใหญ่ของพนักงานทั้ง6 ที่ยืนสังเกตแยกสินค้าออกนี้ ถูกนำไปใช้งานที่ไม่เกิดประโยชน์
ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นต้องปรับปรุงวิธีการทำงานใหม่ในการหาวิธีตรวจสองสินค้าที่มีรอยตำหนิโยกย้ายพนักงานออกไปทำหน้าที่อื่นที่ได้ประโยชน์ในการทำงานมากกว่าจะทำให้โรงงานได้ผลิตผลเพิ่มขึ้น
และลดปัจจัยการผลิตน้อยลงแนวทางนี้จะเป็นวิธี
“การเพิ่มผลผลิตหรือเพิ่มประสิทธิภาพด้วยต้นทุนต่ำ”
ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรอย่างคุ้มค่า หรือมีประสิทธิภาวะสูงสุด
โดยเฉพาะการเพิ่มผลผลิตจากพนักงานให้สูงขึ้นและให้ลดความสูญเสียที่เกิดจาก
“จุดรั่วไหล” ต่าง ๆ ให้มากที่สุด ประหยัดได้ต้องประหยัด ลดกันทุกจุกที่ทำได้ก็เท่ากับลดต้นทุน
แนวทางที่ 3
ทำให้ผลิตผลเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
(ในอัตราที่น้อยกว่าการเพิ่มของผลิตผล) คือ Output เพิ่มขึ้น แต่ Input
เพิ่มน้อยกว่า
แนวทางนี้นำไปใช้ในสภาวะเศรษฐกิจกำลังเติบโตต้องการขยายกิจการและขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น
มีทุนพอที่จะจัดซื้อเครื่องจักรมาเพิ่มขึ้น
จ้างแรงงานเพิ่มใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยในการผลิต ลงทุนในด้านปัจจัยการผลิตเพิ่มขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นแล้วอัตราส่วนของผลผลิตที่เพิ่มจะมากกว่าการเพิ่มของปัจจัยการผลิต
แนวทางที่ 4
ทำให้ผลิตผลเท่าเดิม แต่ปัจจัยการผลิตลดลง คือ
Output คงที่ แต่ Input
ลดลง
แนวทางนี้ไม่เพิ่มยอดการผลิต
นั่นคือ การใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เหมาะที่จะใช้กับช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความต้องการของตลาดมีไม่มากนัก เช่น การ
ประหยัดน้ำ
ประหยัดไฟ ขจัดเวลาที่สูญเสียต่าง ๆ
การประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่ให้ใช้อย่างจำกัดและจำเป็นลดความฟุ่มเฟือยต่าง
ไหลหาจุดไหลในการผลิตและลดจุดรั่วนั้น ๆ
แนวทางที่ 5
ทำให้ผลิตผลลดลงจากเดิมแต่ปัจจัยการผลิตลดลงมากกว่า (ในอัตราลดลงมากกว่าลดผลิตผล)
คือ Output
ลดลง Input ลดลงมากกว่าแนวทางนี้ใช้ในภาวะที่ความต้องการของสินค้าหรือบริการในตลาดน้อยลง
เพื่อใช้เพิ่มค่าของการเพิ่มผลผลิตเช่นสภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย คนไม่มีกำลังซื้อ
สินค้าฟุ่มเฟือยไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น รถยนต์ น้ำหอมฯลฯ
ขายไม่ได้มาก บริษัทที่ผลิตต้องลดปริมาณการผลิตลง
และพยายามลดปัจจัยการผลิตให้มากกว่าด้วย เพื่อให้การเพิ่มผลผลิตค่าสูงขึ้น
แนวทางการเพิ่มผลผลิตทั้ง
5 แนวทางที่กล่าวมาจะไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่า
แนวทางใดจะเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจอย่างไรได้ทั้งหมดเพราะต้องพิจารณาทั้งผลิตผลและปัจจัยการผลิตร่วมเพื่อแนวทางที่เหมาะสมกับองค์กรหรือหน่วยงานนั้น
ๆ แต่โดยหลักการพื้นฐานแล้วสามารถพิจารณาได้ ดังนี้
แนวทางการเพิ่มผลผลิต
-
หากต้องเพิ่มผลผลิตหรือ Output
สูงนั้น
เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่ตลาดขยายตัว ผู้บริโภคกำลังซื้อสูงสินค้ากำลังเป็นที่ต้องการของตลาด
- หากลดผลิตผลลง หรือ Output ลดลง เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซบเซา
ตลาดหดตัวสินค้าไม่เป็นที่ต้องการของตลาดขณะนั้น
- หากเพิ่มปัจจัยการผลิต หมายถึง
ต้องการลงทุนเพิ่มในช่วงเศรษฐกิจเติบโต
ต้องมั่นใจว่าสินค้าที่ผลิตออกมาแล้วเป็นที่ต้องการของตลาด
-
หากลดปัจจัยการผลิต
หมายถึงลดปัจจัยการผลิตได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจเพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่า
จากแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ข้างต้นความหมายของการเพิ่มผลผลิตมิได้หมายถึงการเพิ่มปริมาณการสภาวะหนึ่งที่ต้องทำให้อัตราเพิ่มผลผลิตสูงตลอดเวลาซึ่งทำได้โดยสำรวจสภาวะ
เศรษฐกิจขณะนั้น
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดที่มีต่อสินค้าหรือบริการแล้วเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งเพื่อการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น
การเพิ่มผลผลิตตามแนวคิดทางเศรษฐกิจสังคม
1. ความสำนึกในจิตใจ
เป็นความสามารถหรือการมีพลังด้านความสามารถที่มนุษย์แสวงหาทางปรับปรุงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้นเสมอโดยเชื่อว่าสามารถทำสิ่งต่างๆในวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้
พรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้
โดยผู้มีจิตสำนึกด้านการเพิงผลผลิตจะประยุกต์ใช้เทคนิคและวิธีการใหม่ๆ
นำมาใช้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่หน่วยงานสังคมและประเทศชาติและทันต่อสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
2.การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดการเพิ่มผลผลิตเป็นความสำนึกในการดำเนินกิจกรรมในตลอดวิถีชีวิต
ด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์พร้อมทั้งพยายามลดการสูญเสียทุกประเภทเพื่อความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติความสำนึกดังกล่าวได้แก่การช่วยกันประหยัดพลังงานต่าง
ๆ และค่าใช้จ่าย การมีจิตสำนึกในการเคารพกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อความสงบสุขของสังคม
การนิสัยตรงต่อเวลา การลดข้อผิดพลาดต่าง ๆ การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ฯลฯ
ความหมายของการเพิ่มผลผลิต
การเพิ่มผลผลิต
(Productivity)
หมายถึง อัตราส่วนผลผลิตที่ได้ (Output) กับปัจจัยนำเข้า
(Input) ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพและผลจากการทำงานของแต่ละบุคคลและองค์การ
การเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจและสังคม
หมายถึง ความคิดที่จะหาทางปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอยู่เสมอ โดยมีความเชื่อว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้
และวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้เป็นความสำนึกทางจิตใจในเรื่องของการประหยัดทรัพยากร
พลังงาน เงินตรา เพื่อความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
การเพิ่มผลผลิตทางวิทยาศาสตร์
หมายถึง อัตราส่วนระหว่างปัจจัยการผลิตหรือนำเข้าที่เราใช้ เช่น แรงงาน วัตถุดิบ
พลังงงาน เครื่องจักรและอื่น ๆ กับผลผลิตที่ได้จากกระบวนการผลิต เช่นตู้เย็น
รถยนต์ โทรทัศน์ ธนาคาร การขนส่ง และอื่น ๆ แนวคิดนี้จะต้องมีการเพิ่มผลผลิต ซึ่งทำได้ทั้งการวัดขนาดผลงานเป็นชิ้น
น้ำหนัก เวลา และการวัดเป็นตัวเงิน
แนวทางการเพิ่มผลผลิตตามแนววิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น
4แนวทาง คือ
1.การเพิ่มผลผลิตโดยใช้ปัจจัยการผลิตเท่าเดิม
2.การเพิ่มผลผลิตโดยใช้ปัจจัยการผลิตลดลง
3.การรักษาผลผลิตเท่าเดิมแต่ลดปัจจัยการผลิตลง
4.การเพิ่มผลผลิตและเพิ่มปัจจัยการผลิตในอัตราส่วนที่ปัจจัยการผลิตต่ำกว่าการเพิ่มผลผลิต
เหตุผลในการเพิ่มผลผลิตได้แก่
1.ทรัพยากรที่จำกัด
การเพิ่มผลผลิตเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและนับวันจะน้อยละให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสูบเสียน้อยที่สุด
2.การเพิ่มผลผลิตเป็นเครื่องช่วยในการวางแผนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
เช่น การกำหนดผลผลิตในสัดส่วนที่เหมาะสมกับความต้องการเพื่อไม่ให้เกิดส่วนเกิน
ซึ่งถือเป็นความสูญเปล่าของทรัพยากร
3.การแข่งขัน
บริษัทต่าง ๆ จะอยู่รอดได้ต้องมีการปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ
และการเพิ่มผลผลิตก็เป็นแนวทางในทางปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน
ซึ่งทำให้เราสู้กับคู่แข่งขันได้
4.กำไร
การเพิ่มผลผลิตเป็นการลดต้นทุน
เพิ่มผลกำไรเพื่อจะนำไปแบ่งปันแก่ทุกคนทั้งเจ้าของกิจการ พนักงานและผู้ถือหุ้น
การใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน
เดียวกันสำหรับผลิตภัณฑ์เป็นเทคนิคการเพิ่มผลผลิตที่สำคัญ
เพราะช่วยลดต้นทุนในการผลิตและพัสดุคตงคลังไปได้มาก การใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐาน
หมายถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดบใช้ชิ้นส่วนเดียวกันเท่าทีจะเป็นไปได้
ประโยชน์ที่ได้รับจากความพยายามนี้คือ อุปกรณ์ในการผลิตทำได้ง่ายขึ้นและราคาถูกลง
ควบคุมพัสดุคงคลังของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น
ร้านค้าปลึกสามารถจัดอะไหล่ผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ก็จะถูกลงด้วย
ลักษณะการวัดหรือตัววัดที่ดีควรเป็นไปตามหลักการของ
SMART
คือ
1.เฉพาะเจาะจง
(Specific)
การวัดควรชี้ชัดว่าเป็นการวัดอะไร
2.สามารถวัดได้ผล
(Measurable)
เมื่อสามารถวัดได้ผล ทำให้องค์การติดตามผลงานได้ (Follow Up)
ได้และเกิดความโปร่งใสขึ้น
3.สามารถทำให้บรรลุผลได้
(Achievable)
เพราะจะกระตุ้นให้ทุกคน ทุกฝ่ายเกิดกำลังใจในการทำงาน
4.ตรงประเด็น
(Relevant)
หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจอยู่
5.มีกำหนดเวลาที่แน่นอน
(Time
Bound)
ระบบทันเวลาพอดี เป็นระบบบริหารงานผลิตซึ่งประกอบด้วย
1.การขจัดความสูญเปล่าในด้านต่าง
ๆ เช่นปริมาณการผลิตเกินความต้องการ การรอคอยการขนส่ง ความซับซ้อนในกระบวนการผลิต
การจัดการวัสดุ การทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพและผลผลิตที่บกพร่อง
2.การควบคุมกระแสวัสดุเพื่อลดเวลาในการนำจากจุดสั่งซื้อจนถึงจุดที่วัสดุไปถึงสายการผลิต
3.การเปิดโปงและกำจัดที่ต้นตอปัญหาแทนที่จะไปจัดที่ปลายทาง
ประเภทของการเพิ่มผลผลิต
แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ
1.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นงาน
มีเทคนิคหลัก 2 อย่าง คือ
1.1การศึกษาวิธีทำงาน
หรือวิศวกรรมวิธีการ
1.2 การยศาสตร์หรือวิศวกรรมปัจจัยมนุษย์
2.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นเทคโนโลยี
3.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นพนักงาน
4.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นผลิตภัณฑ์
5.เทคนิคการเพิ่มผลผลิตแบบเน้นวัสดุ